สมเด็จพระพันปีหลวงและบทบาทด้านการเมือง ของ ยูลีอาเนอ มารีอา แห่งเบราน์ชไวค์-ว็อลเฟินบึทเทิล

หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 5 แห่งเดนมาร์ก ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2309 ทำให้พระนางกลายเป็นสมเด็จพระพันปีหลวงและทรงเริ่มก้าวก่ายในราชกิจทางการเมืองในรัชสมัยของพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์ก พระโอรสเลี้ยง ในระหว่างทรงปกครองประเทศทางพฤตินัยแบบเผด็จการนี้ทำให้ทรงถูกเกลียดชังอย่างมาก

รัฐประหาร พ.ศ. 2315 การขจัดอำนาจของสตรูเอนซีและราชินีแคโรไลน์ มาทิลดา

พระเจ้าคริสเตียนที่ 7 พระโอรสเลี้ยงซึ่งมีพระสติวิปลาสและมอบพระราชอำนาจให้พระมเหสีและสตรูเอนซีแคโรไลน์ มาทิลดาแห่งเวลส์ สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก พระสุณิสา ซึ่งทรงพยายามเป็นปรปักษ์กับพระพันปียูลีอาเนอ

ในปีพ.ศ. 2311 สมเด็จพระพันปียูลีอาเนอมีพระบัญชาให้จับกุม สตอฟเล็ท-แคทลีน พระสนมในพระเจ้าคริสเตียน และเนรเทศออกจากเดนมาร์ก เนื่องจากทรงเชื่อว่านางแคทลีนมีอิทธิพลเหนือกษัตริย์และพยายามท้าทายพระราชอำนาจของพระนาง ในปีพ.ศ. 2313 พระเจ้าคริสเตียนทรงเริ่มมีพระสติวิปลาส แต่พระองค์ก็ทรงมอบอำนาจการปกครองให้แก่ เจ้าหญิงแคโรไลน์ มาทิลดาแห่งเวลส์ พระมเหสีผู้ครองพระยศสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์กในขณะนั้นกับ โจฮันน์ ฟรีดิช สตรูเอนซีชู้รักของพระนางแคโรไลน์ มาทิลดา ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการในขณะนั้น พระนางมาทิลดาและสตรูเอนซีได้ดำเนินนโยบายที่พยายามปรับปรุงประเทศเดนมาร์กให้หลุดพ้นจากแนวคิดการปกครองและวัฒนธรรมประเพณีรูปแบบเก่าตั้งแต่สมัยยุคกลาง ซึ่งพยายามทำให้เดนมาร์กที่ยังล้าหลังกว่าประเทศอื่นในยุโรปก้าวขึ้นสู่สมัยใหม่ สตรูเอนซีเน้นแนวทางเสรีนิยมซึ่งเป็นประโยชน์แก่ชนชั้นล่าง เช่น ได้ประกาศลดภาษีเกลือซึ่งเป็นภาระหนักแก่ประชาชนและลดราคาข้าวสาลีลงครึ่งหนึ่ง และนำเงินทุนมาสร้างโรงพยาบาล โรงเรียนแก่ชนชั้นล่าง และได้ประกาศเปิดสวนในพระราชวังให้ประชาชนสามารถเข้าไปได้ อีกทั้งเขายังริเริ่มกฎหมายกำหนดหมายเลขบ้านและทำความสะอาดถนน ซึ่งทำให้คนชนชั้นล่างสำนึกในคุณของเขาและพระนางมาทิลดา แต่นโยบายเขากลับสร้างความไม่พอใจแก่คนชนชั้นสูงซึ่งสูญเสียประโยชน์รวมทั้งพระพันปียูลีอาเนอด้วยและพยามยามปฏิวัติยึดอำนาจกลับมา [2]

พระนางยูลีอาเนอทรงพยายามอย่างหนักเพื่อหาหลักฐานทุกอย่างในการคบชู้ของพระราชินีมาทิลดา ผุ้เป็นพระสุนิสา ทรงจ้างนางพระกำนัลสี่คนของพระนางมทิลดาเพื่อทำหน้าที่สายลับ เมื่อหลักฐานครบถ้วน พระนางทรงวางแผนเชิญชวนคนชั้นสูงมาร่วมก่อการ หนึ่งในนั้นคือ เคานท์ซัค คาร์ล แรนต์เซา สหายของสตรูเอนซี ซึ่งโกรธแค้นเขาเนื่องจากถูกมองข้ามความสำคัญ โดยกำหนดเอาเช้าตรู่วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2315 เป็นวันก่อการ [3]

ในคืนวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2315 เป็นวันจัดงานเต้นรำสวมหน้ากากในราชสำนัก เมื่อพระเจ้าคริสเตียนกลับเข้าสู่ห้องบรรทมแล้ว ส่วนพระนางมาทิลดาและสตรูเอนซีเต้นรำจนถึงตีสาม พระนางมาทิลดาก็เสด็จกลับห้องพระนาง ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 17 มกราคม พระนางยูลีอาเนอทรงรีบสาวพระบาทไปยังห้องบรรทมของพระเจ้าคริสเตียน พระนางแจ้งว่าจะเกิดการปฏิวัติและให้พระองค์ลงพระปรมาภิไธยในคำสั่งจับกุมพระราชินีมาทิลดาและสตรูเอนซี แม้พระเจ้าคริสเตียนทรงไม่ยินยอมแต่พระนางยูลีอาเนอได้บีบบังคับให้ทรงลงพระปรมาภิไธยได้ พระนางได้กุมตัวกษัตริย์ซึ่งถือว่าทรงได้อำนาจมาไว้ในพระหัตถ์แล้ว ทหารได้บุกเข้าไปจับกุมตัวสตรูเอนซีในห้องและล่ามโซ่เขาในคุก[4]. และในเวลา 04.30 นาฬิกา เคานต์แรนต์เซาได้นำทหารไปเชิญพระราชินีมาทิลดาเพื่อไปจองจำ พระนางมาทิลดาทรงต่อต้านอย่างหนัก ทำให้ทรงถูกพาตัวไป พระนางยูลีอาเนอทรงอนุญาตให้นำ เจ้าหญิงหลุยส์ ออกุสตาตามพระมารดาไปในคุกด้วยเนื่องจากทรงยังไม่หย่านม พระนางมาทิลดาทรงถูกนำไปคุมขังที่ปราสาทโครนเบอร์ก พระนางยูลีอาเนอทรงจัดให้พระนางมาทิลดาประทับในห้องบนสุดที่ไม่มีเตาผิงและสกปรก ต่อมาด้วยความกลัวจักรวรรดิอังกฤษ ยกทัพมาเดนมาร์ก จึงจัดให้ประทับที่ห้องชุดที่ดีกว่าเดิม

พระเจ้าคริสเตียนทรงขัดเคืองพระทัยกับการอบรมชี้แนะของพระมารดาเลี้ยง ทรงแข็งข้อต่อพระนางขึ้นเรื่อยๆ มีรับสั่งถามพระนางยูลีอาเนอเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของพระนางมาทิลดา ทำให้ยูลีอาเนอทรงรำคาญพระทัยมากแต่พระนางก็ทรงไม่บอก ครั้งหนึ่งพระเจ้าคริสเตียนทรงลงพระปรมาภิไธยในเอกสารทรงเขียนว่า "คริสเตียนที่ 7 กษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ข้ารับใช้ของพระเป็นเจ้า ร่วมกับ ยูลีอาเนอ มารีอา ข้ารับใช้ของปีศาจ"[5]

การประหารชีวิตโจฮันน์ ฟรีดิช สตรูเอนซีซึ่งสร้างความปิติแก่พระพันปียูลีอาเนอมาก

สตรูเอนซีถูกตัดสินประหารชีวิตพร้อมกับเคานท์เอเนอโวลด์ แบรนดท์ ผู้ให้การสนับสนุนสตรูเอนซี ด้วยความผิดฐานกบฏ การประหารชีวิตกำหนดขึ้นในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2315 ในวันนั้นพระนางยูลีอาเนอบังคับให้พระเจ้าคริสเตียนและพระบรมวงศานุวงศ์ไปชมละครโอเปราและงานเลี้ยง แท่นประหารถูกสร้างให้สูงจากพื้น 27 ฟุต เพื่อให้พระนางยูลีอาเนอทอดพระเนตรด้วยกล้องส่องทางไกลได้สะดวกจากหอสูงของพระราชวังคริสเตียนเบอร์ก พระนางทรงมีรับสั่งกับนางกำนัลว่า "ข้าชอบห้องพวกนี้มาก ชอบยิ่งกว่าห้องชุดหรูหราของข้าเสียอีก เพราะจากหน้าต่างแห่งนี้ ข้าเคยได้เห็นซากที่เหลือของศัตรูที่ข้าเกลียดชังที่สุดอย่างถนัดตา"[6]

พระราชวังคริสเตียนเบอร์ก พระพันปียูลีอาเนอทรงโปรดที่จะประทับที่นี่มากเพราะทำให้พระนางสามารถมองเห็นลานประหารได้ชัดเจนจากหอสูง

สตรูเอนซีเดินขึ้นลานประหาร หลังจากการประหารแบรนดท์แล้ว "ทีนี้ถึงศัตรูรายสำคัญแล้ว" พระนางตรัสกับนางกำนัลอย่างปิติ[7] สตรูเอนซีคุกเข่าลงบนกองเลือดแล้ววางมือด้านขวาที่นำความแปดเปื้อนมาสู่ราชินี เพชรฆาตสับมือข้างนั้นขาดกระเด็น สตรูเอนซีลุกขึ้นบิดตัวเร่า เลือดพุ่งกระฉูดออกจากข้อมือที่กุด ผู้ช่วนเพชรฆาตจำเป็นต้องกดศีรษะเขาแนบกับขอนไม้และในที่สึดดาบฟันลงมา ศีรษะสตรูเอนซีขาดกระเด็น พระนางยูลีอาเนอร้องอย่างปิติ จากนั้นทรงบอกกับพระสหายว่า เรื่องเดียวที่ทรงเสียพระทัยที่สุดคือเรื่องที่ทรงไม่ได้เห็นพระนางมาทิลดา ผู้เป็นพระสุนิสาไม่ได้ขึ้นแท่นประหารแบบคนอื่น และพระนางไม่ได้เห็นพระหัตถ์และพระเศียรมาทิลดาหลุดออกจากร่าง ไม่ได้เห็นซากศพราชินีแห่งเดนมาร์กถูกกรีดจากพระศอจนถึงพระอุรุ ไม่ได้เห็นอวัยวะภายในถูกล้วงออกมาตอกติดกับล้อรถ ไม่ได้เห็นแขนขาถูกตัดออกมาตอกกับอวัยวะภายใน ไม่ได้เห็นพระเศียรถูกเสียบปลายไม้ทิ้งให้เน่าเปื่อยกลางทุ่งท้ายเมือง ตรัสต่อไปว่า ภาพเหล่านั้นจะทำให้พระนางมีความสุขที่สุดในพระชนม์ชีพ"[8]

เมื่อศีรษะสตรูเอนซีหลุดออกจากบ่า เขาได้กลายเป็นนักบุญผู้พลีชีพในสายตาชาวเดนมาร์ก ส่วนสมเด็จพระพันปีหลวงกลับกลายเป็นจอมเผด็จการที่ชาวเดนมาร์กเกลียดชัง พระนางได้ยกเลิกกฎหมายที่สตรูเอนซีบัญญัติขึ้น ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในถนนหลายสายของโคเปนเฮเกน พระนางยูลีอาเนอจำต้องนำกฎหมายบางอย่างของสตรูเอนซีกลับมาใช้อีกครั้ง เมื่อพระเจ้าคริสเตียนทรงทราบการประหารพระองค์ทรงเศร้าโศกมากและตรัสขอพบพระนางมาทิลดา เนื่องจากยังเป็นพระมเหสีอยู่ เมื่อพระนางมาทิลดาทราบข่าวการประหารพระองค์ทรงเป็นลมล้มฟุบทันที มีเสียงเรียกร้องจากประชาชนตามถนนต้องการให้ พระนางมาทิลดาขึ้นสำเร็จราชการแทนพระนางยูลีอาเนอจนเป็นการจลาจลอีกครั้ง พระนางยูลีอาเนอจึงเนรเทศพระสุนิสาออกจากแผ่นดินเดนมาร์กเสีย

การก้าวขึ้นสู่พระราชอำนาจ

สมเด็จพระพันปีหลวงยูลีอาเนอและพระฉายาลักษณ์ของเจ้าชายเฟรเดอริค พระโอรสของพระนางพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราชแห่งปรัสเซีย ผู้ให้การสนับสนุนฐานอำนาจของพระพันปียูลีอาเนอตลอดมา

หลังจากสมเด็จพระพันปีหลวงยูลีอาเนอทรงขจัดพระราชอำนาจของพระราชินีมาทิลดา พระสุณิสาและสตรูเอนซีได้แล้ว พระนางได้แต่งตั้ง เจ้าชายเฟรเดอริค รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ พระราชโอรสของพระนางขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งเดนมาร์ก แต่ตามทางความเป็นจริงแล้ว พระนางทรงตั้งพระโอรสเพื่อเป็นเพียงหุ่นเชิดและพระนางก็จะปกครองโดยพฤตินัย โดยมี โอฟว์ ฮอกห์-กูลด์เบิร์ก พระอาจารย์ของเจ้าชายเฟรเดอริค ช่วยงานราชการแผ่นดินและดำรงเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งเดนมาร์กในทางพฤตินัยเช่นเดียวกับพระพันปีหลวง ในช่วงการปฏิวัติครั้งนี้ ทำให้พระนางทรงได้รับการสรรเสริญเยินยอจากผู้สนับสนุนว่า ทรงเทียบเท่ากับ ราชินีเอสเทอร์ ฮามาน ราชินีชาวยิวซึ่งเป็นพระมเหสีในจักรพรรดิเซอร์ซีสมหาราชแห่งเปอร์เซีย,พระนางเดบอราและจูดิธ ผู้ตัดหัวโฮโรเฟอร์เนส รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นโดยพระนางมีแนวคิดอนุรักษนิยมอย่างสุดโต่ง พระนางทรงคืนที่ดินต่างๆให้ชนชั้นสูงที่ถูกริบทรัพย์สินในสมัยของสตรูเอนซีและพระนางมาทิลดา ทำให้ทรงได้รับความจงรักภักดีและทรงกลายเป็นวีรสตรีของพวกขุนนางชั้นสูง แต่ฝ่ายต่อต้านพระนางได้กล่าวว่าทรงเป็นปีศาจร้ายซึ่งสร้างความหายนะแก่ประเทศเดนมาร์ก พระนางมีพระราชกรณียกิจที่เป็นที่ยอมรับคือ การจัดตั้งโรงงานผลิตเครื่องลายครามแห่งแรกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐในปีพ.ศ. 2322 พระนางทรงมักเขียนจดหมายถึงพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราชแห่งปรัสเซียเป็นประจำ ซึ่งพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราชได้ให้การสนับสนุนพระนางและทรงพอพระทัยที่พระนางได้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการในทางพฤตินัย

พระพันปีหลวงยูลีอาเนอต้องทรงรับผิดชอบในการดูแลมกุฎราชกุมารเฟรเดอริก พระโอรสของพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 กับพระนางแคโรไลน์ มาทิลดา มกุฎราชกุมารทรงชิงชังสมเด็จพระพันปีซึ่งเป็นพระอัยยิกามาก เนื่องจากพระนางทรงปฏิบัติไม่ดีต่อพระบิดาและพระมารดา และพระนางพยายามควบคุมพระองค์ให้อยู่ในความปกครองซึ่งกำหนดให้เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 14 ชันษาถึงจะมีสิทธิในการเป็นผู้สำเร็จราชการ และพระนางทรงพยายามไม่ให้พระองค์ได้พบปะกับเจ้าหญิงหลุยส์ ออกุสตา พระขนิษฐา ซึ่งพระองค์สนิทมากที่สุด ในปีพ.ศ. 2324 พระพันปีหลวงยูลีอาเนอทรงตอบรับข้อเสนอของพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชที่จะให้มกุฎราชกุมารสมรสกับเจ้าหญิงเยอรมันเพื่อกระชับสัมพันธ์เดนมาร์ก-ปรัสเซีย

ความสัมพันธ์กับจักรวรรดิรัสเซีย

ในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2323 พระพันปีหลวงยูลีอาเนอทรงให้ที่ลี้ภัยแก่พระโอรสและพระธิดาของดยุคแอนโทนี อุลริชแห่งบรันสวิคพระเชษฐา กับแกรนด์ดัสเชสแอนนา ลีโอโพลดินาแห่งรัสเซีย ผู้สำเร็จราชการแห่งรัสเซีย ผู้เป็นพระชายา พระโอรสธิดาซึ่งเป็นพระขนิษฐาและพระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าซาร์อีวานที่ 6 แห่งรัสเซีย เมื่อทรงได้รับการปล่อยจากคุกในรัสเซีย โดยพระพันปีทรงกระทำข้อตกลงกับสมเด็จพระจักรพรรดินีเยกาเจรีนาที่ 2 แห่งรัสเซีย ซึ่งพระนางสามารถรับ แกรนด์ดัสเชสแคทเทอรีน(พ.ศ. 2284 - พ.ศ. 2350),แกรนดดัสเชสเอลิซาเบธ(พ.ศ. 2286 - พ.ศ. 2325),แกรนด์ดยุคปีเตอร์(พ.ศ. 2288 - พ.ศ. 2341) และแกรนด์ดยุคอเล็กเซ(พ.ศ. 2289 - พ.ศ. 2330) ซึ่งทั้งหมดประสูติในระหว่างที่แกรนด์ดัสเชสแอนนาถูกคุมขัง พระนัดดาของพระพันปียูลีอาเนอทั้งหมดได้พำนักอย่างสะดวกสบายขึ้นที่ที่กักกันในเมืองฮอร์เซน ทรงภาคตะวันออกของคาบสมุทรจัตแลนด์ พระนัดดาทั้งหมดทรงไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าสู่สังคม และทรงได้พำนักในพระตำหนักเล็กซึ่งมีคนเพียง 40/50 คน ซึ่งเป็นชาวเดนมาร์กทั้งหมดยกเว้นพวกพระ พระนัดดาทุกพระองค์อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของพระพันปียูลีอาเนอและทั้งหมดจะได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากพระจักรพรรดินีนาถแคทเธอรีน

สิ้นสุดพระราชอำนาจ

มกุฎราชกุมารเฟรเดอริค พระนัดดาทรงสามารถโค่นล้มพระราชอำนาจของพระพันปียูลีอาเนอ และต่อมาทรงครองราชย์เป็น พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 6 แห่งเดนมาร์กสมเด็จพระพันปีหลวงยูลีอาเนอในบั้นปลายพระชนม์ชีพ

ในปีพ.ศ. 2327 มกุฎราชกุมารเฟรเดอริกทรงได้รับสิทธิตามกฎหมายโดยพระองค์มีพระชนมายุครบ 16 พรรษา ซึ่งเลยกำหนดที่พระพันปีหลวงยูลีอาเนอจะมอบพระราชอำนาจคืนถึง 2 ปี พระนางทรงพยายามชักจูงให้พระนัดดาทรงมอบพระราชอำนาจให้พระนางไปก่อน หรือไม่ก็อาศัยคำแนะนำของพระนางในด้านต่างๆ และพระนางทรงบังคับให้พระเจ้าคริสเตียนทรงลงนามในพระราชกฤษฎีกาดยกำหนดให้ มกุฎราชกุมารต้องยินยอมในคำแนะนำปรึกษาตั้งแต่ทรงเริ่มดำรงพระยศจนถึงปัจจุบัน โดยทรงต้องรับฟังบุคคล 3 คน ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดี,เจ้าชาย เฟรเดอริค ผู้สำเร็จราชการและสมเด็จพระพันปีหลวงยูลีอาเนอ[9]. อย่างไรก็ตามมกุฎราชกุมารทรงพยายามขจัดอำนาจของพระนางยูลีอาเนอ พระอัยยิกาและพระโอรสของพระนาง และในการร่วมสภาครั้งแรกของพระองค์ พระองค์ทรงไล่คณะรัฐบาลหลวงโดยที่ไม่ได้แจ้งแก่พระนางยูลีอาเนอ และทรงแต่งตั้งคนของพระองค์เข้ารับตำแหน่ง อีกทั้งมกุฎราชกุมารทรงบังคับให้พระบิดาซึ่งมีพระจริตฟั่นเฟือนลงนามในเอกสารแต่งตั้งพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างผู้สนับสนุนมกุฎราชกุมารปับผู้สนับสนุนพระพันปีหลวงยูลีอาเนอ พระนางทรงพยายามแย่งชิงกษัตริย์จากพระหัตถ์ของพระนัดดา แต่ฝ่ายที่ไก้รับชัยชนะคือ มกุฎราชกุมารเฟรเดอริค ซึ่งนับเป็นจุดจบในระบอบเก่าสมัยยุคกลางของเดนมาร์ก รัชกาลที่ปกครองโดยพระพันปียูลีอาเนอและพระโอรสของพระนางสิ้นสุดลง ซึ่งถือเป็นการรัฐประหารในพ.ศ. 2327 โดยชาวเดนมาร์กต่างยินดีกันทั่งหน้าซึ่งจบสิ้นยุคสมัยของพระพันปีหลวง แต่พระเจ้ากุสตาฟที่ 3 แห่งสวีเดนทรงสนับสนุนให้พระนางก่อรัฐประหารอีกครั้งโดยสวีเดนจะให้การสนับสนุน แต่พระนางทรงประกาศวางมือจากราชสำนักและการเมือง และทรงดำรงพระชนม์ชีพอย่างปกติ